วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

แนวการตอบข้อสอบกฎหมาย โดย รศ.มานิตย์ จุมปา


ผู้ที่ศึกษาวิชากฎหมายมักมีปัญหาเกี่ยวกับการตอบข้อสอบกฎหมาย  จึงขอแนะนำแนวทางการตอบ
โดย  รองศาสตราจารย์มานิตย์  จุมปา  อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์  จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
     การศึกษาศาสตร์แต่ละแขนงจะมีวิธีการศึกษาเฉพาะด้านที่แตกต่างกันไป การศึกษากฎหมายนั้นผู้ที่ไม่เคยศึกษา ก็มักมองกันว่าคงจะท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง เพราะกฎหมายมีจำนวนมาก แต่แท้จริงแล้วการศึกษาในทุกศาสตร์ ก็ต้องอาศัยความจำเป็นพื้นฐาน เช่น การเรียนแพทย์ก็ต้องท่องจำอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายคนให้ได้ก่อนจึงจะลงมือผ่าตัดได้ การเรียนกฎหมายก็เช่นกัน "ความจำ" ก็เป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการเรียน แต่ลำพังเพียงการท่องจำหาใช่วิธีการที่ถูกต้องในการเรียนกฎหมายไม่ เพราะมักปรากฏอยู่เสมอว่าผู้ที่ท่องกฎหมายได้ดังนกแก้วนกขุนทอง แต่สอบแล้ว ผลสอบออกมาปรากฏว่าสอบเกือบผ่าน (สอบตก)
      มีเรื่องเล่ากันว่าในการสอบกฎหมายวิชากฎหมายอาญาสมัยหนึ่ง กระทาชายนายหนึ่งชื่อนายสาโทได้ท่องตัวบทตามประมวลกฎหมายอาญาเตรียมตัว สอบอย่างดี โดยวัน ๆ ไม่ทำงานอะไร เอาแต่ท่องกฎหมายอย่างเดียว จนกระทั่งพ่อแม่บ่นอยู่เสมอว่าสอบตั้งหลายครั้งแล้วไม่เห็นสอบผ่านเสียที  มีแต่เกือบผ่านทุกที จนกระทั่งสอบวิชากฎหมายอาญาถึง 5 ครั้งก็ยังเกือบผ่านอยู่ดี พ่อแม่ของนายสาโทอดทนไม่ไหว และด้วยเหตุที่พ่อแม่ของนายสาโทมิได้เรียนมาทางด้านนิติศาสตร์จึงข้องใจว่า ทั้ง ๆ ที่ลูกชายของตนท่องกฎหมายได้อย่างนกแก้วนกขุนทอง แต่เหตุใดจึงสอบไม่ผ่านเสียที จึงมาพบอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายอาญา อาจารย์จึงเรียกนายสาโทมาซักถามความรู้กฎหมายแบบปากเปล่า โดยมีพ่อแม่นายสาโทนั่งฟังอยู่ด้วย โดยอาจารย์ตั้งคำถาม ถามว่า การที่คนเราฆ่าตัวตาย แต่เมื่อลงมือฆ่าตัวตาย ผลออกมาไม่ตายบุคคลนั้นจะมีความผิดตามกฎหมายอาญาหรือไม่ ประการใด นายสาโทก็แสดงความเป็นนกแก้วนกขุนทอง โดยท่องตัวบทประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 โดยเสียงดังฟังชัดว่า "ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 บัญญัติว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบห้าปี" แต่พอท่องเสร็จก็นั่งอยู่เฉยไม่ตอบคำถาม อาจารย์ก็ถามย้ำคำถามเดิมอีกว่า "แล้วการที่คนเราฆ่าตัวตายแล้วไม่ตาย คนนั้นจะมีความผิดทางอาญาหรือไม่" นายสาโทก็ทำท่างง ๆ เพราะฟังคำถามเทียบดูกับตัวบทกฎหมายที่ตนเองท่องออกมาแล้วเห็นว่า ไม่เห็นเหมือนกันเลย คิดตั้งนานก็ตอบไม่ได้ พ่อแม่นายสาโทมองหน้าตาลูกชายตนเองแล้วถอนหายใจยกใหญ่ แล้วจึงช่วยลูกชายตอบคำถามว่า การฆ่าตัวตายไม่ผิดกฎหมายอาญา เพราะกฎหมายจะเอาผิดแต่เฉพาะการฆ่าผู้อื่น พ่อแม่จึงเข้าใจนายสาโทว่า เหตุที่สอบไม่ผ่าน ก็เพราะมีแต่ "จำ" ขาด "ความเข้าใจ"การศึกษากฎหมายนั้นเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง  ที่ว่าเป็นศิลปะนั้นก็เพราะว่า  ไม่มีสูตรการศึกษากฎหมายที่สำเร็จรูปที่จะทำให้ผู้ศึกษากฎหมายได้รับความ สำเร็จ  เพราะวิธีการศึกษากฎหมายต้องอาศัยบริบทแวดล้อมของผู้ศึกษากฎหมายแต่ละคนเป็น ปัจจัยเสริม  ดังนั้น การศึกษากฎหมายที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในการศึกษากฎหมาย ที่ผู้ศึกษากฎหมายอาจนำไปปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของแต่ละคน
อนึ่ง  ผู้เขียนได้รับอิทธิพลอย่างมากในการศึกษากฎหมายจากศาสตราจารย์ ดร.หยุด  แสงอุทัย ปรมาจารย์ทางกฎหมาย  ผู้เขียนหนังสือชื่อ การศึกษาวิชากฎหมาย”  โดยหนังสือดังกล่าวนี้  ผู้เขียนได้อ่านทบทวนอยู่บ่อยครั้ง  โดยเฉพาะเมื่อใกล้สอบ และสอบเสร็จแล้ว  ที่อ่านเมื่อใกล้สอบ  เพราะจะเป็นการเตรียมตัว  ที่อ่านเมื่อสอบเสร็จ เพราะจะได้ประเมินตนเองว่ายังต้องมีข้อบกพร่องประการใดในการศึกษากฎหมายหรือ ไม่  เพื่อจะได้นำข้อบกพร่องนั้นเป็นบทเรียน  และพยายามแก้ไขปรับปรุงในการเรียนต่อไป
ในการกล่าวถึงการศึกษากฎหมายนี้  ขอแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ
(๑) วิธีการศึกษากฎหมาย
(๒) วิธีการตอบข้อสอบกฎหมาย 
ส่วน ที่ ๑  วิธีการศึกษากฎหมาย
        การเรียนกฎหมายนั้นจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เหตุที่ว่ายากก็เพราะกฎหมายเป็นนามธรรม ไม่สามารถจะชั่ง ตวงวัด เป็นกรัมเป็นลิตรหรือเป็นเมตรได้ จึงไม่ทราบว่ากว้างหรือแคบเท่าใดต้องถกเถียงกันนานกว่าจะหาข้อยุติได้ บางทีเถียงกันตั้งนานก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ เช่น แค่ไหนเพียงใดเรียกว่า "ยุติธรรม" ส่วนเหตุที่ว่าง่ายก็เพราะกฎหมายนั้นต้องยุติธรรม ความยุติธรรมเป็นสามัญสำนึก ผู้ใดมีสามัญสำนึก ผู้นั้นก็เรียนกฎหมายได้
๑. เรามีความเหมาะสมที่จะเรียนกฎหมายมากน้อยเพียงใด ?
มีปัญหาว่า ตัวเราเองจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเรียนกฎหมายได้ และรู้กฎหมายแล้วหรือยัง วิธีการหนึ่งที่จะตอบปัญหาดังกล่าวได้ คือ
(๑) ใครที่อ่านกฎหมายแล้วบอกว่าไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย คนนั้นเรียนกฎหมายไม่ได้
(๒) ใครอ่านกฎหมายแล้วบอกว่าไม่รู้เรื่อง คนนั้นเรียนกฎหมายได้ และหากอ่านต่อไปแล้วบอกว่า กฎหมายนั้นยาก คนนั้นก็เริ่มจะเข้าใจกฎหมายแล้ว นอกจากนั้น ถ้าอ่านกฎหมายแล้วเห็นว่ากฎหมายยากขึ้นเท่าใด ก็แสดงว่ารู้กฎหมายมากขึ้นเท่านั้น และท้ายที่สุด หากอ่านกฎหมายแล้วบอกว่า ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย คนนั้นรู้กฎหมายอย่างรู้แจ้งแท้จริงแล้ว
         อย่างไรก็ดี ในการเรียนกฎหมายนั้น ผู้เรียนต้องทราบถึงวิธีการเรียนกฎหมายว่ามีอยู่อย่างไร เปรียบเสมือนดังการว่ายน้ำ ซึ่งทุกคนที่ฝึกหัดว่ายน้ำเพียงเล็กน้อยก็ว่ายน้ำได้ แต่การจะว่ายน้ำได้เร็ว ว่ายได้นานและประหยัดกำลัง ต้องรู้วิธีการว่ายน้ำ ซึ่งต้องใช้การศึกษา การเรียนกฎหมายก็เช่นกัน ผู้เรียนคนใดรู้จักวิธีการเรียนก็ย่อมจะเรียนได้ โดยมีความรู้และสามารถสอบผ่านการวัดผลได้คะแนนในระดับดี
๒. การเรียนในระดับมหาวิทยาลัยมีความแตกต่างจากการเรียนในระดับมัธยมศึกษาอย่าง ไร ?
เมื่อตอนที่เราเรียนในระดับมัธยม  ครูผู้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ให้  จะมองนักเรียนเป็นเด็ก  จึงต้องมีการควบคุมค่อนข้างจะมาก  ในขณะที่การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย  อาจารย์จะมองนิสิตนักศึกษาว่าเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ  ดังนั้น  สมัยมัธยม  ครูจะเข้ามาควบคุมการศึกษาค่อนข้างจะใกล้ชิด  นักเรียนมีปัญหา  ครูจะเข้ามาถามไถ่  แต่เมื่อมาศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย จะมีความแตกต่างกัน โดยนิสิตนักศึกษาที่มีปัญหาต้องเข้าพบเพื่อขอรับคำปรึกษาจากอาจารย์ที่ ปรึกษาหรืออาจารย์ผู้สอน
การ เรียนกฎหมายนั้น ในเบื้องต้นนิสิตจะต้องจำ (ไม่ใช่สักแต่ท่อง) หลักเกณฑ์พื้นฐานทางกฎหมาย "การจำ" นี้เป็นการจำพร้อมกับทำความเข้าใจสิ่งที่จำ นอกจากนี้ เมื่อจำได้ต่อไปก็ต้องรู้จักหัดคิด ไม่ใช่รับเอาแต่คำสอนของอาจารย์หรือตำราไปอย่างนกแก้วนกขุนทอง โดยไม่มีความคิดเห็นของตนเอง ผู้เรียนจะต้องพยายามคิดอยู่เสมอว่าเพราะเหตุใดอาจารย์หรือตำราจึงสอนหรือ เขียนไว้เช่นนั้น ผู้เรียนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ผู้เรียนเองมีความเห็นของตนเองอย่างไร
นอกจากนี้ การศึกษากฎหมายเป็นวิชาที่เกี่ยวกับความคิด ไม่ใช่วิชาที่เกี่ยวกับสิ่งที่มีรูปร่างเหมือนการก่อสร้าง การต่อเรือ เช่นนี้ การศึกษากฎหมายต้องอาศัยการเข้าฟังการบรรยายของอาจารย์ในห้องเรียนประกอบกับ ค้นคว้าโดยการอ่านจากตำรากฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดองค์ความรู้เพียงพอในการพัฒนาความคิดในทางกฎหมายให้ได้อย่างมี เหตุผล 
ศาสตราจารย์ ดร. หยุด แสงอุทัย ปรมาจารย์ทางกฎหมายได้ให้หลักสำคัญในการเรียนกฎหมายให้สำเร็จไว้ 3 ประการ [1]
1.      ต้องมีความจำ หมายความว่า ผู้เรียนต้องมีความจำในตัวบทกฎหมาย
2.      ต้องมีความเข้าใจ หมายความว่า ลำพังแต่ความจำอย่างเดียว โดยผู้เรียนไม่เข้าใจความหมายของถ้อยคำ ในตัวบทกฎหมายย่อมไม่เป็นการเพียงพอ ผู้เรียนจะต้องเข้าใจความหมายของถ้อยคำที่ใช้ในตัวบทกฎหมายด้วย ถ้อยคำบางคำก็เป็นภาษาธรรมดา บางคำก็เป็นภาษากฎหมายบางคำก็เป็นภาษาในทางวิชาการ
3.      ต้องสามารถนำตัวบทกฎหมายไปใช้ได้ถูกต้อง มีความหมาย 2 ประการ คือ ประการแรก ผู้เรียนสามารถตอบปัญหาในการสอบวัดผลในการศึกษาได้ถูกต้อง เพราะผู้เรียนเข้าใจตัวบทกฎหมายดีอยู่แล้ว ประการที่สอง ผู้เรียน สามารถนำความรู้ในทางกฎหมายไปใช้แก่ข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าได้ 
3. การเสริมสร้างปณิธานในการศึกษากฎหมายให้สำเร็จ
การเรียนกฎหมายก็เหมือนกับการเรียนวิชาอื่น ที่ผู้เรียนจะต้องตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่เสียก่อนว่า ความสำเร็จในการศึกษานั้น ก็คือ ความปรารถนาอันแรงกล้าของตน ถ้าขาดเสียซึ่งปณิธานนี้แล้ว ก็อาจจะเป็นการยากที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดี แม้แต่จะเรียนให้ผ่านการสอบวัดผลก็เป็นการยาก
ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ได้ให้หลักสำคัญในการตั้งปณิธานให้แน่วแน่ว่าควรใช้อิทธิบาท 4 ในพระพุทธศาสนาเป็นหลักสำคัญ กล่าวคือ [2]
1.      ฉันทะ คือความรักใคร่ ผู้เรียนต้องมีความรักในวิชาที่เรียน ถ้ายังไม่มีก็ต้องปลูกให้รักขึ้นให้ได้ ผู้เรียนอาจจะเรียน กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่รู้เรื่องจริง ๆ แต่ถ้าผู้เรียนหวังจะสอบกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งให้ผ่าน ต้องปลูกให้รักกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โดยหลับตาให้เห็นภาพว่า เมื่อเกิดมีคดีความเกิดขึ้น เริ่มต้นจะต้องยื่นฟ้องอย่างนั้น ฟ้องแย้งเป็นอย่างนั้น ฟ้องแย้งอะไรใช้ได้ อะไรใช้ไม่ได้ ให้เห็นภาพจนกระทั่งศาลตัดสินบังคับคดีให้เป็นเรื่องเป็นราว น่าสนุก น่าสนใจ เช่นนี้ เป็นการปลูกฝังให้มีความรัก ถ้าผู้เรียนหวังจะเรียนให้สำเร็จ ผู้เรียนจะไม่ชอบเรียนไม่ได้
2.      วิริยะ คือความพากเพียร ผู้เรียนจะรักเรียนวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้วไม่ดูหนังสือเลยก็ย่อม สอบไม่ผ่าน ฉะนั้นเมื่อรักจะเรียนก็ต้องขยันพากเพียรอ่านหนังสือ ค้นคว้าตำรับตำราต่าง ๆ ประกอบด้วย
3.      จิตตะ คือ ต้องเอาใจจดจ่อกับวิชานั้น จิตใจของผู้เรียน ผู้เรียนต้องบังคับให้จดจ่อกับวิชาที่เรียนนั้น ไม่ใช่ว่ากำลังนั่งเรียนหนังสืออยู่ แต่ใจไปอยู่ที่สยามสแควร์
4.      วิมังสา คือ ต้องมีการทบทวนไตร่ตรองกลับไปกลับมาในวิชาที่เล่าเรียนศึกษาไม่ใช่เรียนผ่าน ไปแล้วก็แล้วกันไป
อย่าง ไรก็ตาม การตั้งปณิธานในการศึกษานั้น แม้จะต้องไว้ในสิ่งที่สูงสุดเอื้อม เช่น หวังจะเรียนให้สำเร็จได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง ผู้เรียนก็ต้องเตรียมเผื่อใจไว้ด้วยว่าอาจจะพลาดหวัง เมื่อพลาดหวังจะได้ไม่เสียใจมากเกินไป การตั้งปณิธานในสิ่งที่สูงไว้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี เพราะถ้าไม่ได้สิ่งนั้นก็อาจได้สิ่งอื่นตามมา เช่น ตั้งปณิธานจะเรียนให้สำเร็จได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง  แม้พลาดหวังไม่ได้เหรียญทอง  เพราะมีอยู่เพียงเหรียญเดียว  แต่คะแนนเฉลี่ยก็อยู่ในเกณฑ์ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอยู่ หรือถ้าพลาดหวังอีกก็อาจจะได้เกียรตินิยมอันดับสอง แต่หากตั้งปณิธานไว้ต่ำ ๆ ก็อาจจะเกิดผลเสียได้ เช่น ตั้งปณิธานว่าจะเรียนเพียงขอให้จบนิติศาสตรบัณฑิต ก็พอ ถ้าไม่ได้ตามที่ตั้งไว้ผลก็คือเรียนไม่จบ

4. การใช้ชีวิตในการเป็นนิสิตในมหาวิทยาลัย
การศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ใช่ว่าจะมีจุดมุ่งหมายแต่เพียงให้ผู้เรียนได้รับปริญญาเท่านั้น หากแต่ผู้เรียนจะต้องใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยสร้างอุดมคติ สร้างความหวัง เพาะบุคลิกภาพของนิสิต และเสาะแสวงหาเพื่อนที่ดีมีความจริงใจ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสั้น มีเพียงครั้งเดียวผ่านไปแล้วผ่านไปเลย เรียกคืนกลับมาไม่ได้ เหมือนกับกระแสน้ำที่ไหลไปแล้วไม่หวนคืนกลับ
มหาวิทยาลัยมีความรู้ให้ผู้เรียนเข้ามาแสวงหา ความรู้นั้นไม่ได้มีอยู่แต่ในห้องเรียน นอกห้องเรียนก็มีความรู้ให้เรียนรู้ได้อย่างไม่มีวันจบ มหาวิทยาลัยมีสิ่งที่สำคัญที่ผู้เข้ามาเรียนน่าที่จะพิจารณาแสวงหาให้ได้สอง สิ่งนี้ประกอบกันคือ   "การเรียน" กับ "กิจกรรม" ดังคำกล่าว ที่ว่า "ความรู้คู่กิจกรรม" กล่าวคือ มหาวิทยาลัยนอกจากให้ความรู้ทางวิชาการแก่ผู้เรียนแล้ว มหาวิทยาลัยยังมีกิจกรรมหลากหลาย ที่สอนให้ผู้เรียนรู้ถึงการดำรงชีวิตให้รอดในสังคม ดังมีคำกล่าวว่า "มหาลัยชีวิต" มหาวิทยาลัยเปรียบดังสังคมจำลองที่ให้ผู้เรียน ได้เข้ามาแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ชีวิต เพื่อจะได้ก้าวเผชิญโลกภายนอกได้อย่างมั่นใจ ดังนั้น นอกจากจะต้องเรียนหนังสือแล้ว ผู้เรียนควรหาโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยด้วย กิจกรรมนั้นมีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางวิชาการ กิจกรรมทางด้านกีฬา เป็นต้น
ตัวอย่างที่หนึ่งที่จะยกให้ พิจารณาต่อไปนี้ จะเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ในการที่จะดำรง ชีวิตต่อไปในสังคมได้อย่างไม่ให้ใครมาคอยเอาเปรียบได้ กล่าวคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจำลองการเมืองในระดับประเทศมาให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม คือ ในระดับประเทศ มีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน โดยมีรัฐสภาเป็นผู้คอยควบคุมการทำงานของคณะรัฐมนตรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดโอกาสให้นิสิตปกครองบริหารงานบางส่วนที่เกี่ยวกับกิจกรรมของนิสิตเอง โดยมีองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ (อบจ.) ทำหน้าที่คล้ายคณะรัฐมนตรี และมีสภานิสิตซึ่งประกอบด้วยตัวแทนของนิสิตจากทุกคณะ ทำหน้าที่คล้ายรัฐสภา คอยควบคุมการทำงานของ อบจ. เหตุเกิดที่สภานิสิตนี้เอง โดยสภานิสิตจะต้องมีการเลือกสมาชิกสภานิสิตหนึ่งคนขึ้นเป็นประธานสภานิสิต ซึ่งตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งสำคัญมีผู้หวังเก้าอี้ตัวนี้จำนวนมากพอสมควร ครั้งหนึ่งมีผู้ที่คาดว่าจะได้รับการเลือกประธานสภานิสิตได้ตกลงกันว่าจะ ปล่อยให้มีการเลือกตั้งอย่างอิสระ จะไม่มีการหาเสียงไม่มีการเข้าไปชักชวนให้สินน้ำใจตอบแทน แต่ในความเป็นจริงหนึ่งในสองคนนั้นได้แอบหาเสียงอย่างเป็นความลับ มีการนัดเลี้ยงอาหารแก่สมาชิกสภานิสิต ผลการลงคะแนนปรากฏว่าคนที่พาสมาชิกสภานิสิตไปเลี้ยงอาหารนั้น ได้รับเลือกให้เป็นประธานสภานิสิต อุทาหรณ์นี้ก็เป็นเรื่องสอนใจให้รู้ว่าอำนาจ และตำแหน่งเป็นสิ่งที่ยั่วยวนใจ เพื่อนกันก็อาจไม่มีสัจจะได้ ซึ่งทุกวันนี้เราก็เห็นอยู่ในการเมืองไทยที่มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการ เมืองบ่อย ๆ จนมีคำกล่าวว่า "การเมืองไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลประโยชน์" เมื่อผลประโยชน์ลงตัวทุกอย่างก็ไปด้วยกันได้

ส่วนที่ 2  วิธีการตอบข้อสอบกฎหมาย

5. การตอบข้อสอบวิชากฎหมาย
ข้อ สอบที่ใช้วัดผลในทางกฎหมายนั้นส่วนมากนิยมใช้ 2 รูปแบบ คือ
1.      มีคำถามที่ให้ผู้ตอบอธิบายหลักกฎหมาย
2.      คำถามที่ตั้งเป็นตุ๊กตาให้ผู้ตอบวินิจฉัย
ก่อนที่จะพิจารณาในรายละเอียดของข้อสอบทั้งสองรูปแบบ ควรที่จะทราบถึงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับวิธีตอบข้อสอบกฎหมายทั่วไป ซึ่งศาสตราจารย์ ดร. หยุด แสงอุทัย ได้ให้คำแนะนำในเรื่องนี้ไว้ว่า
1.      การเขียนคำตอบนั้น ต้องเขียนในลักษณะที่ว่าผู้ตรวจข้อสอบไม่มีความรู้ในทางวิชากฎหมาย
2.      ในการตอบข้อสอบต้องใช้ถ้อยคำให้ชัดเจน อย่าใช้คำกำกวมหรือมีความหมายเป็นสองนัย
3.      การเขียนคำตอบควรเขียนให้อ่านง่ายและอย่าเขียนหวัดจนเกินไป
4.      การตอบไม่ควรจะสั้นเกินไปหรือยาวเกินไป
5.      อย่าเพิ่งลงมือตอบในขณะที่จิตใจยังตื่นเต้นอยู่
6.      ต้องอ่านคำถามให้ตลอดและพยายามตรึกตรองว่าประสงค์ให้ตอบอย่างไร
7.      อย่าตอบในสิ่งที่ไม่ได้ถาม
8.      ก่อนตอบควรจะบันทึกย่อ ๆ ถึงหัวข้อที่จะตอบ
9.      ต้องเลือกตอบข้อง่ายเสียก่อน
10.    ต้องระวังความคิดฉับพลันที่เกิดขึ้น ใกล้เวลาส่งคำตอบ
11.    อย่าเขียนเรื่องส่วนตัวลงในคำตอบ
ต่อ ไปจะได้พิจารณาถึงข้อสอบสองรูปแบบที่นิยมออก
ก. คำถามที่ให้ผู้ตอบอธิบายหลักกฎหมาย คำถามประเภทนี้ ตัวอย่างเช่น
1.      จงอธิบายถึงสิทธิต่าง ๆ ของทารกในครรภ์มารดาที่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 วรรคสอง
2.      หลักที่ว่ากฎหมายไม่มีผลย้อนหลังท่านเข้าใจอย่างไร หลักนี้เป็นจริงเสมอไปหรือไม่ เพียงใด
วิธี คิดในการตอบปัญหาข้างต้น ผู้ตอบจะต้องคิดเพื่อตอบคำถามดังต่อไปนี้
1.      คำถามที่ถามนั้นเป็นเรื่องอะไร เช่น เรื่องสิทธิของทารกในครรภ์มารดา เรื่องกฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง
2.      มีบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติถึงเรื่องนั้นเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีตัวบทกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจน ก็ต้องพิจารณาว่า มีหลักหรือทฤษฎีในทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างไร
3.      ตามคำบรรยายของอาจารย์หรือตำรากฎหมายอธิบายกฎหมายหรือหลักเกณฑ์เรื่องนั้น ไว้อย่างไร มีเนื้อหาสาระ แยกพิจารณาเป็นข้อ ๆ ได้กี่ข้อ
4.      ถ้าเป็นคำถามที่ถามในลักษณะให้เปรียบเทียบความแตกต่างจะต้องยกลักษณะของแต่ ละเรื่อง แล้วชี้ให้เห็นถึงความแตกต่าง
5.      การยกตัวอย่างประกอบเรื่องอธิบาย เพื่อแสดงให้เห็นชัดว่าผู้ตอบข้อสอบเข้าใจเรื่องนั้นอย่างแท้จริง

ข. คำถามที่ตั้งเป็นตุ๊กตาให้ผู้ตอบวินิจฉัย
ตัวอย่างคำถามประเภทนี้ เช่น นายดำและนายแดงเป็นคนรู้จักกัน ทำงานอยู่ที่เดียวกัน ต่อมาทั้งสองได้ทะเลาะกันถึงกับขู่ฆ่าอาฆาตมาดร้ายว่าจะต้องหาทางฆ่าอีกฝ่าย ให้ได้ วันหนึ่งที่ทำงานซึ่งทั้งสองคนทำงานอยู่ได้มีการจัดสัมมนานอกสถานที่ 3 วัน บังเอิญว่าทั้งนายดำและนายแดงได้พักร่วมห้องเดียวกัน คืนหนึ่งระหว่างทั้งสองกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่นั้น นายดำได้ละเมอเอามือปิดจมูกนายแดงจนนายแดงตายคาเตียง พอนายดำรู้สึกตัวก็ตกใจมาก นายดำจึงได้มาปรึกษาท่านซึ่งเป็นเพื่อนรัก ในฐานะที่ท่านมีความรู้กฎหมาย เช่นนี้ท่านจะให้คำปรึกษาแก่นายดำว่าอย่างไร
วิธีคิดในการตอบปัญหาข้างต้น ผู้ตอบจะต้องคิดเพื่อตอบคำถามดังต่อไปนี้
1.      ประเด็นในคำถามเป็นเรื่องอะไร เป็นเรื่องการฆ่าผู้อื่น
2.      มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบัญญัติในประเด็นเรื่องนั้นอย่างไร ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งวางหลักว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนด และมาตรา 59 ซึ่งวางหลักว่า บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา ได้แก่ การกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
3.      ข้อเท็จจริงที่โจทย์ให้มาเมื่อยกมาปรับกับข้อกฎหมายใน (2) แล้ว จะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร การกระทำตามโจทก์จะผิดฐานฆ่าผู้อื่น ก็ต่อเมื่อนายดำได้กระทำโดยเจตนา คือ ต้องกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ แต่กรณีข้อเท็จจริงที่โจทย์ให้มา นายดำทำไปโดยละเมอ จึงมิใช่กระทำโดยเจตนา นายดำจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น

6. เป้าหมายของการศึกษาวิชากฎหมาย
การ เรียนการสอนวิชากฎหมายมิได้มีขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนใช้กฎหมายเพื่อเป็นช่อง ทางหรือเครื่องมือในการทำมาหากินของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่มีขึ้นเพื่อให้มีการใช้กฎหมายเพื่อสร้างความสงบเรียบร้อย ความถูกต้องเป็นธรรม และความเจริญรุ่งเรืองให้แก่สังคมส่วนรวมเพื่อยังประโยชน์ และความสุขให้เกิดแก่สุจริตชนส่วนใหญ่ในสังคม เมื่อใดที่เป้าหมายของการเรียนการสอนกฎหมายดังกล่าวได้ถูกทำให้เป็นที่ ประจักษ์ชัดเจนแล้ว เป็นที่หวังว่าผู้เรียนกฎหมายจะมีบทบาทที่โดดเด่นอยู่ในสังคม ในฐานะที่เป็นผู้เสริมสร้างสังคม และเป็นที่พึ่งให้แก่สุจริตชนได้ตามเป้าหมายของการเรียนการสอนกฎหมาย แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้เรียนกฎหมายละเลยเป้าหมายของการเรียนการสอนกฎหมายดังกล่าวแล้ว โอกาสที่ผู้เรียนกฎหมายจะกลายสภาพจากการเป็นผู้ที่เป็นหลักที่พึ่งของสังคม ไปเป็นเพียงผู้ที่ใช้ความรู้ทางกฎหมายทำมาหากินเลี้ยงชีวิตเลี้ยงครอบครัว ให้อยู่ดีมีสุข บนกองทุกข์ของประชาชนแต่เพียงอย่างเดียวก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย

7. บทส่งท้าย
ที่ กล่าวมาข้างต้น เป็นข้อพิจารณาเบื้องต้นเพื่อประกอบความคิดของนิสิตว่า สมควรจะถือตามหรือไม่ หรือว่าสมควรปฏิบัติเป็นประการใด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะวิธีการศึกษากฎหมายเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่อาจจะวางหลักเกณฑ์กำหนดให้แน่นอนตายตัวลงไปได้ อีกทั้งวิธีการศึกษากฎหมายยังเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่มีผู้ใดจะช่วยแนะนำนิสิตได้ดีกว่าที่นิสิตจะแสวงหาวิธีการที่ดีที่สุด ด้วยตัวเอง
หมายเหตุ ผู้สนใจโปรดดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน มานิตย์  จุมปา, การศึกษากฎหมายและการตอบข้อสอบกฎหมาย (สำหรับผู้เริ่มต้น), พิมพ์ครั้งที่ 5, กรุงเทพฯ : นิติธรรม, 2548. 274 หน้า. ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ขยายความในเรื่องนี้  พร้อมตัวอย่างการตอบข้อสอบ

[1] หยุด  แสงอุทัย, การศึกษาวิชากฎหมาย,พิมพ์ครั้งที่ 5 (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ประกายพรึก, 2546), หน้า 32.

[2] สัญญา
  ธรรมศักดิ์, ความสำเร็จในชีวิต, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ, 2509), หน้า 9-10.

แบบทดสอบกฎหมายอาญาภาคความผิดต่อเจ้าพนักงานและตำแหน่งหน้าที่

ข้อ  ๑.  ร.ต.อ.ก้อง  นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน ๕ นายไปขอตรวจค้นบ้านนายโก้ตามหมายค้น  โดยแสดงหมายค้นให้นายโก้ดู  นายโก้ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้น  โดยใช้มือผลักอก ร.ต.อ.ก้อง  และพูดด่า ร.ต.อ.ก้องกับพรรคพวกว่า  ไอ้พวกอันธพาล  ไอ้พวกฉิบหาย  ไอ้มือปืน  ดังนี้  นายโก้จะมีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานใดหรือไม่
                ก. ผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๘ วรรคแรกและดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๖
          ข. ผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๘ วรรคสองแต่ไม่ผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๖
          ค. ไม่ผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานเพราะเป็นผู้ต้องหา แต่ผิดดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๖
          ง. ผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๘ วรรคสองและผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๖
(ตอบ  ง. เจ้าพนักงานปฏิบัติการอันชอบด้วยหน้าที่  การผลักอกใช้กำลังประทุษร้ายตามมาตรา ๑(๖)  จึงเป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามมาตรา ๑๓๘ วรรคสอง  ถ้อยคำที่กล่าวนั้นเป็นการสบประมาท ดูถูก เหยียดหยาม เป็นดูหมิ่น ตามฎีกาที่ ๕๔๗๙/๒๕๓๖)

ข้อ  ๒.  ข้อใดไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน
          ก. นายแผนเคยจดทะเบียนสมรสและหย่าแล้ว  แต่เมื่อมาขอจดทะเบียนสมรสกับนางสาวพิม  ได้แจ้งต่อนายทะเบียนว่าไม่เคยสมรสมาก่อน
          ข. บิดาของนายช้างขายที่ดินไปแล้ว  แต่นายช้างไปแจ้งตำรวจว่าใบรับรองการทำประโยชน์ที่ดิน (น.ส.๓) หาย  เพื่อขอออกใบแทน
          ค. นายเอทราบดีว่ามีผู้เอาใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ไป  แต่นายเอกลับไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าใบคู่มือทะเบียนรถยนต์สูญหายไป
          ง. นายดำแทงนายขาวตายแล้ว  กลับไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจกล่าวหาว่านายขาวลักทรัพย์  ตนจะจับแต่นายขาวจะทำร้ายจึงต้องป้องกันตัวซึ่งไม่เป็นความจริง
(ตอบ  ก. ไม่ผิดตามฎีกาที่ ๑๒๓๗/๒๕๔๔,  ข.  ฎีกาที่ ๑๙๕๕/๒๕๔๖,  ค.  ฎีกาที่ ๓๑๖๒/๒๕๔๐,  ง.  ฎีกาที่ ๑๒๒๒/๒๔๙๘)

ข้อ  ๓.  การกระทำของนายขาวตามข้อใดไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
          ก. นายขาวผลักและดันตำรวจที่จับเพื่อแย่งถุงพลาสติกที่ใส่ยาเสพติดไป
          ข. นายขาวถูกตำรวจจับกุมในข้อหาลักทรัพย์  ระหว่างที่นำตัวนายขาวไปที่รถ  นายขาวดิ้นรนสะบัดหลุดจากการคุมตัวของตำรวจแล้ววิ่งหนีไป
          ค. ขณะที่ตำรวจเข้าจับนายขาวในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน  นายขาวดิ้นรนและชกหน้าตำรวจจนฟันหัก
          ง. ตำรวจเข้าค้นและจับผู้เล่นการพนันอันเป็นความผิดซึ่งหน้าในเวลากลางคืนโดยไม่มีหมายค้น  นายขาวขัดขวางการจับกุมโดยใช้มือดึงผู้เล่นการพนันให้ออกไป
(ตอบ  ข.  ฎีกาที่ ๕๙๘๐/๒๕๔๐  การดิ้นรนให้หลุดพ้นการควบคุมไม่เป็นการต่อสู้หรือขัดขวาง)

ข้อ  ๔. พ.ต.ท.รุ่ง กับตำรวจอื่นอีก ๕ นาย จะเข้าทำการจับกุมนายเลวกับพรรคพวกซึ่งตั้งรถเข็นขายสินค้าบนทางเท้า  นายเลวพูดจาข่มขู่ ร.ต.ท.รุ่งว่า  “ถ้าจับมีเรื่องแน่” พร้อมชี้มือลักษณะข่มขู่ และพวกของนายเลว ๓๐-๔๐ คนได้เดินเข้ามา  ร.ต.ท.รุ่ง กลัวว่านายเลวกับพวกจะทำร้าย จึงพากันถอยออกไปไม่ได้จับกุม  ดังนี้  นายเลวมีความผิดต่อเจ้าพนักงานอย่างไร
          ก. ผิดฐานข่มขืนใจเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๙ 
          ข. ผิดฐานพยายามข่มขืนใจเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๙,๘๐
          ค. ผิดพยายามต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๘,๘๐
          ง. ไม่มีข้อใดถูก
(ตอบ  ก.  ฎีกาที่  ๑๒๖๖/๒๕๓๐  เป็นการข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่  โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย)

ข้อ  ๕.  เจ้าพนักงานตำรวจแสดงตัวจับนายไก่ตามหมายจับในข้อหาลักทรัพย์  นายเป็ดซึ่งมาด้วยกันกับนายไก่ได้เงื้อหมัดและขู่ว่าอย่าจับ  หากเข้ามาจับจะชก  เจ้าพนักงานตำรวจไม่กลัวได้เข้าไปจับนายไก่ไว้ได้  ส่วนนายเป็ดวิ่งหนีไป  ดังนี้  นายเป็ดจะมีความผิดฐานใดหรือไม่
          ก. พยายามข่มขืนใจเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๙,๘๐ และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายตามมาตรา ๑๓๘ วรรคสอง
          ข. ข่มขืนใจเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๙ และพยายามต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๘,๘๐
          ค. พยายามข่มขืนใจเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๙,๘๐  แต่ไม่ผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๘
          ง. ข่มขืนใจเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๙ และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายตามมาตรา ๑๓๘ วรรคสอง
(ตอบ  ก. เจ้าพนักงานไม่กลัวเป็นพยายามข่มขืนใจ เทียบฎีกาที่ ๒๙๘๙/๒๕๓๗)

ข้อ  ๖.  ข้อใดต่อไปนี้ผู้กระทำไม่มีความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามมาตรา ๑๔๓
          ก. นายเอกเรียกเงินจากนายโทอ้างว่าจะนำไปให้ผู้พิพากษาเพื่อให้รอการลงโทษจำคุกในคดีที่นายโทถูกฟ้อง  โดยที่นายเอกไม่ตั้งใจเอาทรัพย์ที่เรียกไปให้ผู้พิพากษาเลย
          ข. นายสดเรียกเงินจากนายใสโดยอ้างว่าจะนำไปให้เจ้าพนักงานเพื่อช่วยเหลือให้นายใสสอบคัดเลือกเข้ารับราชการได้  แต่นายใสไม่เชื่อจึงไม่ยอมให้เงินนายสด
          ค. นายแสบเรียกเงินจากนายสีอ้างว่าจะนำไปจูงใจผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เพื่อให้พิพากษายกฟ้องในคดีที่นายสีกับพวกเป็นจำเลย  โดยผู้พิพากษาที่นายแสบอ้างมิได้เป็นองค์คณะที่พิจารณาคดีนั้น
          ง. นายดำเรียกเงินจากนางแสดเพื่อนำไปมอบให้จ่าสิบตำรวจเขียวเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจจ่าสิบตำรวจเขียวไม่ให้เบิกความต่อศาลตามความจริงว่าเห็นสามีของนางแสดร่วมในการทำร้ายด้วย
(ตอบ  ง.  ไม่ผิดเพราะการเบิกความไม่ใช่หน้าที่โดยตรงอันสืบเนื่องมาจากการที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ  ฎีกาที่ ๕๑๑/๒๕๑๖  )

ข้อ  ๗.  นายเสือเป็นพนักงานของเทศบาลเมืองสามพราน  แต่งเครื่องแบบตำรวจยศพันตำรวจโท  ขับรถยนต์มาถึงด่านตรวจ  เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำด่านเรียกให้นายเสือหยุดรถและขอตรวจค้นภายในรถ  นายเสือบอกกับตำรวจที่จะตรวจค้นว่า ค้นไม่ได้โว้ย กูเป็นตำรวจ  ดังนี้  นายเสือผิดอย่างไรหรือไม่
          ก. ผิดแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๔๕
          ข. ผิดสวมเครื่องแบบเจ้าพนักงานของเจ้าพนักงานโดยไม่มีสิทธิตามมาตรา ๑๔๖
          ค. ผิดทั้งแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๔๕  และผิดฐานสวมเครื่องแบบเจ้าพนักงานโดยไม่มีสิทธิตามมาตรา ๑๔๖
          ง. ไม่ผิดฐานใดเพราะตนเองเป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้ว
(ตอบ  ข.  ไม่ผิดมาตรา ๑๔๕ เพราะเพียงแต่แสดงตนเป็นตำรวจแต่มิได้กระทำการใดอย่างเจ้าพนักงานตำรวจ  ฎีกาที่ ๔๐๖/๒๕๒๐)

ข้อ  ๘.  ในคดีที่นายแบนถูกฆ่า  เจ้าพนักงานตำรวจจับนายกลิ้งผู้ต้องหา  โดยมีนายกลอกอ้างตัวเป็นพยานผู้รู้เห็น  นายกลิ้งให้การต่อพนักงานสอบสวนปฏิเสธว่าตนไม่ได้ฆ่า  ทั้งที่ความจริงนายกลิ้งเป็นผู้ฆ่านายแบน  ส่วนนายกลอกมิได้เห็นเหตุการณ์แต่อย่างใด  กลับให้การว่าเห็นนายกลิ้งชกต่อยทำร้ายนายแบนและใช้มีดแทงจนนายแบนตาย ดังนี้ นายกลิ้งและนายกลอกจะมีความผิดเกี่ยวกับการแจ้งความเท็จประการใดหรือไม่
          ก. ทั้งนายกลิ้งและนายกลอกผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาตามมาตรา ๑๗๒
          ข. นายกลิ้งไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จแต่ประการใด  ส่วนนายกลอกมีความผิดฐานแจ้งความเท็จว่ามีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้นตามมาตรา ๑๗๓
          ค. นายกลิ้งไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จแต่ประการใด  ส่วนนายกลอกมีความผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาตามมาตรา ๑๗๒
          ง. ทั้งนายกลิ้งและนายกลอกไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา ๑๓๗ และมาตรา ๑๗๒ แต่ประการใด
(ตอบ  ค. ผู้ต้องหามีสิทธิให้การอย่างไรก็ได้จึงไม่ผิดแจ้งความเท็จ  พยานไม่เห็นเหตุการณ์แต่อ้างว่าเห็นเป็นการแจ้งความเท็จ  เทียบฎีกาที่ ๙๑๙/๒๕๐๔, ๒๒๔๙/๒๕๑๕)

ข้อ  ๙.  นายมิ่งเป็นเจ้าพนักงานสังกัดการประถมศึกษาจังหวัดสมุทรสงคราม  มีหน้าที่ขับรถของส่วนราชการนั้น  นายมิ่งร่วมกับนายแมวซึ่งเป็นลูกจ้างประจำของการประถมศึกษาดังกล่าวลักดูดน้ำมันรถของส่วนราชการซึ่งตนมีหน้าที่ขับไปขายต่อ  ดังนี้  ข้อใดถูกต้อง
          ก. นายมิ่งและนายแมวผิดเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา ๑๔๗
          ข. นายมิ่งผิดเป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา ๑๔๗  ส่วนนายแมวรับผิดเป็นผู้ใช้ตามมาตรา ๑๔๗, ๘๔
          ค. นายมิ่งผิดเป็นเจ้าพนักงานยักยอกตามมาตรา ๑๔๗  ส่วนนายแมวผิดเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา ๑๔๗, ๘๖
          ง. นายมิ่งผิดเป็นเจ้าพนักงานยักยอกตามมาตรา ๑๔๗  ส่วนนายแมวไม่มีความผิดเพราะตนเองไม่ใช่เจ้าพนักงาน
(ตอบ  ค.  พนักงานขับรถมีหน้าที่ดูแลรักษาน้ำมันในรถยนต์นั้นด้วย  เมื่อเอาไปขายจึงเป็นการเบียดบังทรัพย์ที่ตนมีหน้าที่ดูแลผิดมาตรา ๑๔๗  ส่วนลูกจ้างประจำมิใช่เจ้าพนักงานไม่อาจเป็นตัวการร่วมในการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ได้  เมื่อร่วมกับเจ้าพนักงานกระทำผิดจึงเป็นได้เพียงผู้สนับสนุน)

ข้อ  ๑๐.  จ.ส.ต.เอก  เป็นเจ้าพนักงานตำรวจจราจรแกล้งจับนายมากและแจ้งข้อหาว่าขับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงบริเวณสี่แยกและเรียกเงินจากนายมาก ๕๐๐ บาท  โดยมีนายน้อยซึ่งเป็นเพื่อนกับ  จ.ส.ต.เอกร่วมอยู่ด้วยช่วยพูดในการเรียกเงิน  แต่นายมากไม่ยอมให้  ดังนี้  จ.ส.ต.เอกและนายน้อยต้องรับผิดอย่างไร
          ก. จ.ส.ต.เอกผิดเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบตามมาตรา ๑๔๘ ส่วนนายน้อยผิดเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา ๑๔๘, ๘๖
          ข. จ.ส.ต.เอกผิดเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตามมาตรา ๑๔๙  ส่วนนายน้อยผิดเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา ๑๔๙, ๘๖
          ค. จ.ส.ต.เอกผิดเจ้าพนักงานพยายามใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบตามมาตรา  ๑๔๘, ๘๐  ส่วนนายน้อยผิดเป็นตัวการร่วม
          ง. จ.ส.ต.เอกผิดเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบตามมาตรา ๑๔๘  ส่วนนายน้อยผิดเป็นตัวการร่วมตามมาตรา ๑๔๘, ๘๓
(ตอบ  ก.  การแกล้งจับเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ  เมื่อเรียกเงินก็เป็นความผิดสำเร็จทันทีแม้ผู้ถูกเรียกจะไม่ให้หรือยังไม่ได้ให้  ส่วนราษฎรเป็นได้เพียงผู้สนับสนุน)


ข้อ  ๑๑.  การกระทำตามข้อใดไม่เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา  ๑๕๗
          ก. พนักงานสอบสวนควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้เกินอำนาจที่จะควบคุม
          ข. ตำรวจแกล้งจับนายดำหาว่าเมาสุราอาละวาดทั้งที่ไม่เป็นความจริง
          ค. เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุม  ขู่เข็ญทำร้ายผู้ต้องหาเพื่อให้รับสารภาพ
          ง. ตำรวจใส่กุญแจมือนางเม้าผู้ต้องหาซึ่งเป็นเจ้ามือสลากกินรวบ  แล้วพาเดินตระเวนไปทั่วทั้งตลาดเพื่อให้เกิดความอับอายและไม่ให้คนอื่นเอาอย่าง
(ตอบ  ค.  ฎีกาที่ ๓๖๔/๒๕๓๑  การทำร้ายไม่เกี่ยวแก่หน้าที่ของตำรวจ , ก. ฎีกาที่ ๖๓๗-๖๓๘/๒๕๐๗ ,ข. ฎีกาที่ ๒๔๔๔/๒๕๒๑,  ง. ฎีกาที่ ๗๔๔/๒๕๐๑)

ข้อ  ๑๒.  ข้อใดถูกต้องตามหลักกฎหมายในความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตามมาตรา ๑๔๙
          ก. เพียงแต่เรียกทรัพย์สิน  แต่ผู้ถูกเรียกยังไม่ยอมให้ย่อมไม่เป็นความผิด
          ข. การเรียกรับทรัพย์สินต้องเป็นการเรียกเพื่อตัวเจ้าพนักงานนั้นเองจึงจะเป็นความผิด
          ค. หากเป็นเจ้าพนักงาน  แม้ว่าจะมีหน้าที่หรือไม่มีหน้าที่ในการนั้นก็เป็นความผิดทันทีเมื่อเรียกรับทรัพย์สิน
          ง. การเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด  แม้เพื่อกระทำการอย่างใดในตำแหน่งอันชอบด้วยหน้าที่ก็เป็นความผิด
(ตอบ  ง.  มาตรา ๑๔๙  ความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนนั้นผิดทันทีที่เจ้าพนักงานเรียกทรัพย์สินสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ  โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการในตำแหน่ง  “ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่”  ข้อสำคัญคือเจ้าพนักงานนั้นต้องมีหน้าที่ในการนั้นด้วย)

ข้อ  ๑๓.  ด.ช.แสบ อายุ ๙ ปี  นึกสนุกขึ้นมาจึงโทรศัพท์แจ้งแก่เจ้าพนักงานตำรวจ ๑๙๑ ที่รับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายว่ามีการวางระเบิดที่บริเวณสวนสนุกและที่อื่น ๆ อีกหลายจุด  ในช่วงวันเด็ก  ดังนี้  ด.ช.แสบ จะมีความผิดเกี่ยวกับความเท็จหรือไม่อย่างไร
          ก. ผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๗ เท่านั้นเพราะไม่ได้แจ้งต่อพนักงานสอบสวน
          ข. ผิดฐานแจ้งความเท็จว่ามีการกระทำความผิดอาญาตามมาตรา ๑๗๓
          ค. ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานเพราะกระทำไปด้วยความคึกคะนองไม่มีเจตนาพิเศษ
          ง. ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานเพราะ ด.ช.แสบอายุไม่เกิน ๑๐ ปี กฎหมายยกเว้น
(ตอบ  ข.  เป็นการแจ้งความเท็จว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  เทียบฎีกาที่  ๗๐๐๘/๒๕๔๘  การที่เด็กอายุไม่เกิน ๑๐ ปีกระทำผิดเด็กนั้นมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา ๗๓  วรรคแรก)

ข้อ  ๑๔.  ขณะที่  ด.ต.ชัด  ควบคุมตัวนายกลมซึ่งเป็นแกนนำผู้ชุมนุมประท้วงปิดถนน  นำตัวไปขึ้นรถยนต์สายตรวจไปสถานีตำรวจ  นายแบนพวกของนายกลมเข้าไปช่วยนายกลม  โดยนายแบนเข้ากอดรัดตัว ด.ต.ชัด ไว้  นายกลมก็สะบัดมือดิ้นรนอย่างแรงจนเท้ากระแทกโดนหน้าแข้งของ ด.ต.ชัด  แล้ววิ่งหนีไป  ดังนี้  นายแบนและนายกลมจะมีความผิดฐานใด
          ก. ทั้งนายแบนและนายกลมผิดต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๘ 
          ข. นายแบนผิดต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๘ วรรคสองและผิดฐานกระทำให้ผู้ที่ถูกคุมขังหลุดพ้นจากการคุมขังตามมาตรา ๑๙๑  ส่วนนายกลมผิดหลบหนีการคุมขังตามมาตรา ๑๙๐
          ค. นายกลมผิดต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๓๘ วรรคสองและผิดหลบหนีการคุมขังตามมาตรา ๑๙๐  ส่วนนายแบนเป็นผู้สนับสนุนตามตรา ๑๙๐ ,๘๖
          ง. นายแบนผิดกระทำให้ผู้ต้องคุมขังหลุดพ้นจากการคุมขังตามมาตรา ๑๙๑ ส่วนนายกลมผิดหลบหนีการคุมขังตามมาตรา ๑๙๐
(ตอบ  ข.  เทียบฎีกาที่  ๓๒๔๓/๒๕๒๘)

ข้อ  ๑๕.  เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้นบ้านนายอ้วนและนายผอม  พบยาบ้าจำนวน ๑๐ เม็ดซุกซ่อนอยู่ในขวดยาเม็ดสมุนไพร  จึงจับกุมนายอ้วนและนายผอมพร้อมยึดยาบ้านั้นไว้เป็นของกลางในคดี  ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจค้นบ้านของบุคคลทั้งสองต่อไป  เจ้าหน้าที่ตำรวจเผลอวางขวดบรรจุยาบ้านั้นไว้ที่โต๊ะ  นายแห้งบิดาของนายอ้วนคว้าขวดยาบ้านั้นเททิ้งลงคูน้ำใต้ถุนบ้านเสียเพื่อช่วยบุตรของตนมิให้ต้องรับโทษ  ดังนี้  นายแห้งจะมีความผิดฐานใด
          ก. ทำลายพยานหลักฐานตามมาตรา ๑๘๔
          ข. ทำลายทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานยึดหรือรักษาไว้ตามมาตรา ๑๔๒
          ค. เป็นความผิดตามข้อ ก. และ ข. แต่ศาลจะไม่ลงโทษนายแห้งก็ได้เพราะกระทำไปเพื่อช่วยบุตรของตน
          ง. เป็นความผิดตาม ข้อ ก. และ ข. แต่ศาลจะไม่ลงโทษได้เฉพาะความผิดตามมาตรา ๑๘๔  เพราะกระทำไปเพื่อช่วยบุตรของตน
(ตอบ  ง.  ยาบ้านั้นเจ้าพนักงานได้ยึดไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐานแล้ว การเอาไปจึงผิดมาตรา ๑๔๒ และเป็นการทำไปเพื่อช่วยผู้อื่นจึงผิดมาตรา ๑๘๔ อีกบทหนึ่ง ผู้กระทำผิดตามมาตรา ๑๘๔ กระทำไปเพื่อช่วยบุตรของตน  ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้ตามมาตรา ๑๙๓)

ข้อ  ๑๖.  นายยิ่งแต่งกายเหมือนตำรวจนอกเครื่องแบบแต่งกันตามปกติ  โดยนุ่งกางเกงสีกากีสวมเสื้อยืดสีขาว คาดเข็มขัดหนัง  และไปยืนให้สัญญาณรถยนต์บรรทุกที่ผ่านไปมาให้หยุดเพื่อตรวจแล้วเรียกเงินจากโชเฟอร์  ดังนี้  นายยิ่งจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดหรือไม่
          ก. เรียกรับสินบนตามมาตรา ๑๔๙
          ข. สวมเครื่องแบบโดยไม่มีสิทธิตามมาตรา ๑๔๖
          ค. แสดงตนและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๔๕
          ง. เป็นความผิดทั้งตามข้อ ก. ข้อ ข. และ ค.
(ตอบ  ค.  ฎีกาที่  ๒๐๙๙/๒๕๒๗  ผู้กระทำผิดตามมาตรา  ๑๔๙ ต้องเป็นเจ้าพนักงาน)

ข้อ  ๑๗.  นายไอซ์ค้ายาเสพติดถูกตำรวจจับได้และอยู่ระหว่างการสอบสวน  นายไอซ์ได้ขอร้องนางฟ้าใสภริยาของ พ.ต.ท.พายุ  พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีให้ช่วยพูดจาเกลี้ยกล่อม พ.ต.ท.พายุ  ให้สั่งไม่ฟ้อง  โดยเสนอให้เงินเป็นค่าตอบแทนในการเจรจาหนึ่งแสนบาทแก่นางฟ้าใส  นางฟ้าใสไม่ยอมกระทำตามที่นายไอซ์ขอร้อง  ดังนี้  นายไอซ์มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานใดหรือไม่
          ก. ไม่มีความผิดเพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิด
          ข. ไม่มีความผิดเพราะนางฟ้าใสไม่ยอมกระทำตามที่ขอร้อง
          ค. มีความผิดฐานพยายามให้สินเจ้าพนักงานตามมาตรา ๑๔๔, ๘๖
          ง. มีความผิดฐานผู้สนับสนุนนางฟ้าใสในความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามมาตรา ๑๔๓, ๘๖
(ตอบ  ก.  ไม่ผิดเพราะเป็นการเสนอให้ทรัพย์สินแก่ภริยาเจ้าพนักงาน  เพื่อให้ภริยาเจ้าพนักงานจูงใจเจ้าพนักงานอีกทอดหนึ่ง  หากนางฟ้าใสยอมรับเงินนั้นไว้เพื่อตอบแทนในการที่ตนจะใช้อิทธิพลจูงใจ พ.ต.ท.พายุ พนักงานสอบสวนให้สั่งไม่ฟ้องนายไอซ์ นางฟ้าใสผิดเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามมาตรา ๑๔๓ ทันที  ซึ่งการเสนอให้เงินคนกลางไม่มีกฎหมายให้เป็นความผิด)

ข้อ  ๑๘  จ่าสิบตำรวจแม้นได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เสมียนเปรียบเทียบและได้ทำงานในหน้าที่นั้น โดยที่ไม่ได้เซ็นทราบคำสั่ง ในการปฏิบัติหน้าที่เสมียนเปรียบเทียบ จ่าสิบตำรวจแม้นได้ทำการแก้หรือลงจำนวนเงินในสำเนาใบเสร็จให้น้อยลงกว่าต้นฉบับแล้วส่งเงินต่ำกว่าจำนวนที่ได้รับจริง ดังนี้ จ่าสิบตำรวจแม้นมีความผิดฐานใดหรือไม่
          ก.ผิดฐานปลอมเอกสารในหน้าที่ของตนตามมาตรา ๑๖๑,ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการตามมาตรา ๒๖๖ และผิดยักยอกทรัพย์ตามมาตรา ๓๕๒
          ข. ผิดฐานรับรองเอกสารอันเป็นเท็จตามมาตรา ๑๖๒, และผิดเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา ๑๔๗
          ค. ผิดฐานปลอมเอกสารในหน้าที่ของตนตามมาตรา ๑๖๑,ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการตามมาตรา ๒๖๖ และผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา ๑๔๗
          ง. ผิดฐานปลอมเอกสารในหน้าที่ของตนตามมาตรา ๑๖๑,ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการตามมาตรา ๒๖๖ แต่ไม่ผิดเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา ๑๔๗
(ตอบ  ค.  ฎีกาที่ ๓๕/๒๕๒๑)

ข้อ  ๑๙. กรณีใดที่ไม่ถือว่าเป็นความผิดฐานช่วยบุคคลมิให้ต้องโทษตามมาตรา ๒๐๐
          ก. เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นเพื่อนลักลอบฆ่าโคแต่ไม่จับ กลับเดินเลี่ยงไปทางอื่นเสีย
          ข. นายตำรวจยิงคนตายแล้วขัดขวางไม่ให้มีการแจ้งความ จดบันทึกประจำวันและสอบสวนเท็จเพื่อช่วยตนเอง
          ค. ผู้ใหญ่บ้านระงับคดีลักกระบือโดยบิดผันเป็นทำให้กระบือตายโดยไม่เจตนา
          ง. รองผู้กำกับการไม่จับกุมผู้ต้องหาว่ายักยอกกลับรู้เห็นเป็นใจให้หลบหนีออกนอกประเทศ
(ตอบ  ข.  ฎีกาที่ ๗๑๗/๒๕๑๑  การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยตนเองมิให้ต้องรับโทษผิดมาตรา ๑๕๗  แต่ไม่ผิดมาตรา ๒๐๐ เพราะมาตรา ๒๐๐ ต้องเพื่อช่วยผู้อื่น,  ก. ฎีกาที่ ๓๗๔/๒๔๗๒ ,ค. ฎีกาที่ ๙๑๒/๒๔๙๘  ,ง. ฎีกาที่ ๑๐๘๘/๒๔๗๕)

ข้อ  ๒๐. ถ้าเจ้าพนักงานผู้กระทำให้ผู้ถูกคุมขังหลุดพ้นจากการคุมขังไป  จัดให้ได้ตัวผู้ที่หลุดพ้นจากการคุมขังนั้นกลับคืนมา  อันเป็นเหตุให้งดการลงโทษแก่ผู้กระทำผิดนั้น ดังนี้  ข้อใดไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์
          ก. ต้องให้ได้ตัวผู้ถูกคุมขังคืนมาภายใน ๓ เดือน
          ข. ต้องได้ตัวผู้ที่หลุดพ้นจากการคุมขังกลับคืนมาครบจำนวนที่หลุดพ้นไป
          ค. เป็นการทำให้ผู้ถูกคุมขังหลุดพ้นจากการคุมขังโดยเจตนาหรือประมาทก็ได้
          ง. ไม่จำเป็นต้องไปจับตัวผู้ที่หลุดพ้นจากการคุมขังกลับคืนมาด้วยตนเอง แต่อาจไปจ้างวานให้คนอื่นจับกลับมาก็ได้
(ตอบ  ค.  เหตุการณ์ลงโทษมีเฉพาะกรณีตามมาตรา ๒๐๕  อันเป็นการกระทำโดยประมาทเท่านั้น)

************************************